มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เปิดเวทีสัมมนา ในกิจกรรม “50 ปี ความสัมพันธ์จีน-ไทย ใช่อื่นไกลพี่น้องกัน (จงไท่อี้เจียชิน และฉลองครบรอบ 60 ปี แห่งการสถาปนามหาวิทยาลัยเชียงใหม่” ภายใต้โครงการสัมมนาทางวิชาการอาเซียนศึกษา ASEAN seminar แลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างไทย และจีนในด้านเศรษฐกิจ
วันนี้ (12 มี.ค. 68) ที่ห้องประชุมการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างผาสุก อาคาร 1 ชั้น 1 คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผศ.ดร.ปิติพงษ์ ยอดมงคล รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นประธานเปิดกิจกรรม “50 ปี ความสัมพันธ์จีน-ไทย ใช่อื่นไกลพี่น้องกัน (จงไท่อี้เจียชิน และฉลองครบรอบ 60 ปี แห่งการสถาปนามหาวิทยาลัยเชียงใหม่” ภายใต้โครงการสัมมนาทางวิชาการอาเซียนศึกษา ASEAN seminar โดยมี คุณเฉิน ไห่ผิง กงสุลใหญ่แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนประจําเชียงใหม่ กล่าวปาฐกถาพิเศษ 50 ปี ความสัมพันธ์จีน-ไทย พร้อมด้วย ผู้บริหารคณะเศรษฐศาสตร์ วิทยากร และนักศึกษา เข้าร่วมกิจกรรม
ด้วยประเทศไทย และสาธารณรัฐประชาชนจีนมีสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น และยาวนาน ทั้ง ในมิติของประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และเศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศมี รากฐานมาตั้งแต่อดีตกาล และได้รับการสถาปนาอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2518 นับแต่นั้นเป็นต้นมา ไทย และจีนได้พัฒนาความร่วมมือในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น เศรษฐกิจ การค้า การศึกษา และการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม จนก่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่ ใกล้ชิด และแน่นแฟ้นดุจพี่น้อง ปัจจุบัน จีนเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย โดยเฉพาะในภาคการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว ซึ่งเห็นได้ชัดจากจํานวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมายังประเทศ ไทยกว่า 10 ล้านคนในปี พ.ศ. 2562 รวมถึงการลงทุนของบริษัทจีนที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ความร่วมมือระหว่างไทย และจีนยังส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค โดยช่วยเสริมสร้างความมันคง และความเจริญก้าวหน้าให้กับอาเซียนโดยรวม อีกด้วย
ทั้งนี้ กิจกรรมดังกล่าว จัดขึ้นเพื่อเป็นเวที แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และประสบการณ์เกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างไทย และจีนในด้านเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม รวมถึงการวิเคราะห์แนวโน้มของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในอนาคต นอกจากนี้ ยังเป็นโอกาสสําคัญในการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ ของหน่วยงาน และสมาคมไทย-จีน ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความเข้าใจอันดี และความร่วมมือที่ แข็งแกร่งยิ่ขึ้นต่อไป
