ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน 17 จังหวัดภาคเหนือ ที่จังหวัดเชียงใหม่ ย้ำทุกหน่วยต้องควบคุมสถานการณ์ให้ได้ ขอผู้ว่าราชการจังหวัดสร้างการรับรู้แก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง
วันนี้ (4 เม.ย. 66) ที่ ห้องศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน (ส่วนหน้า ภาคเหนือ) จังหวัดเชียงใหม่ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานประชุมติดตามสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และ PM2.5 ในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ ผ่านระบบ VDO Conference โดยในส่วนของจังหวัดเชียงใหม่ มีนายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วย นายชัชวาลย์ ปัญญา รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมฯโดยค่าจุดความร้อน (Hotspot) พื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ ประจำวันที่ 4 เมษายน 2566 พบว่าจังหวัดน่าน มีค่าจุดความร้อนมากที่สุด 282 จุด รองลงมาคือจังหวัดแม่ฮ่องสอน 177 จุด เชียงราย 133 จุด เชียงใหม่ 130 จุด ลำปาง 105 จุด ตามลำดับ

นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้เน้นย้ำไปยังจังหวัดน่าน ให้เฝ้าระวังและควบคุมจุดความร้อนอย่างเข้มงวด ด้วยเป็นจังหวัดเป้าหมายที่ไม่ต้องการให้เกิดจุดความร้อน พร้อมขอให้กวดขันในพื้นที่ คทช. หากพบว่ามีการเผา จะถือว่าผิดไปจากข้อตกลงการใช้ประโยชน์ในที่ดิน คทช. นอกจากนี้ ยังพบว่าจังหวัดน่านได้มีการปลูกมันสำปะหลังเป็นจำนวนมากในช่วงนี้ เนื่องจากเป็นพืชที่ให้ผลผลิตและราคาดี จึงขอให้มีการควบคุมประมาณการปลูก สร้างความเข้าใจกับประชาชน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเหมือนการปลูกข้าวโพดในอดีต

ส่วนที่จังหวัดเชียงราย จำนวนจุดความร้อนและค่าฝุ่นมีแนวโน้มที่ลดลงตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม โดยจังหวัดเชียงรายไม่ได้นิ่งนอนใจ พยายามยกระดับมาตรการแก้ไขปัญหาอย่างดีที่สุด ซึ่งปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ขอให้พื้นที่ที่มีจุดความร้อนเป็นจำนวนมากร่วมกันหารือถึงแนวทางการเฝ้าระวังและแก้ไขปัญหาแบบเชิงรุก เพราะปัจจุบันพบว่ากำลังพลทุกหน่วยได้ทำงานอย่างหนักในการไล่ดับไฟในแต่ละพื้นที่ เพื่อควบคุมไม่ให้ไฟลุกลามเป็นวงกว้าง ด้านจังหวัดแม่ฮ่องสอน พบว่าในห้วงวันที่ 19-31 มีนาคม ที่ผ่านมา จุดความร้อนได้เพิ่มขึ้นตั้งแต่ 200 จุด ไต่ระดับสูงถึง 600 จุด แต่ปัจจุบันได้ลดลงแล้วอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ปัญหาไฟป่าและหมอกควันจากประเทศเพื่อบ้าน ซึ่งได้ส่งผลกระทบจากลมที่พัดพาควันจากประเทศเพื่อนบ้านสู่พื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทยเป็นจำนวนมากนั้น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะได้มีการหารือกับเมียนมา และลาว (Emergency Case Conference) เพื่อวิเคราะห์ถึงปัญหาและหารือถึงการควบคุมเฝ้าระวังในแต่ละพื้นที่อย่างเข้มงวดมากยิ่งขึ้น

สำหรับจังหวัดเชียงใหม่ พบว่า ปัจจุบันจุดความร้อนในภาพรวมมีจำนวนที่ลดลง เว้นแต่ในพื้นที่ป่าที่ยังคงมีจุดความร้อนสูง โดยในห้วงที่ผ่านมาจังหวัดเชียงใหม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี แต่นับตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม เป็นต้นมา พบว่าสถานการณ์เริ่มรุนแรงขึ้น มีจำนวนจุดความร้อนถึงหลักร้อย ซึ่งเป็นไปตามการคาดการณ์ว่าจะมีการเผาในช่วงแล้งสุดท้ายเพื่อเตรียมการในด้านต่าง ๆ ประกอบกับฝุ่นที่ตีโอบล้อมเข้ามาจากต่างพื้นที่ ด้านมิติควบคุมการเผา เมื่อพบว่าไฟเริ่มเข้าใกล้ดอยสุเทพมากขึ้น จึงได้มีการออกประกาศเขตภัยพิบัติไฟป่ารอบดอยสุเทพ เพื่อเพิ่มความเข้มข้นและเพิ่มกำลังทหารเข้ามาดูแล เพื่อรักษาดอยสุเทพทั้งด้านหน้าและด้านหลังไว้ได้ ขณะที่ป่าห้วยตึงเฒ่า ได้มีปฏิบัติการทำป่าเปียก สร้างความชุ่มชื้นในพื้นที่ป่า ลดการจุดติดไฟ นอกจากนี้ ยังได้มีการประกาศเขตภัยพิบัติรอบอุทยานแห่งชาติศรีลานนา และดอยหลวงเชียงดาว ยกระดับการลาดตระเวน การดับ และการจับกุมผู้ลักลอบเผา เพื่อรักษาพื้นที่ป่าให้ได้ดีที่สุด

ในการนี้ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้เน้นย้ำถึงการเฝ้าระวังพื้นที่ป่าอนุรักษ์และป่าสงวนแนวตะเข็บชายแดน ทั้ง 17 จังหวัดภาคเหนือ โดยขอให้การจัดการเป็นไปอย่างละเอียดอ่อน พูดคุยทำความเข้าใจกับฝ่ายความมั่นคงและทหารให้ชัดเจน ส่วนในพื้นที่เมือง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องเข้าไปจัดการและควบคุมสถานการณ์ให้ได้ พร้อมเน้นย้ำขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด เป็นผู้นำเสนอข้อมูลและสร้างการรับรู้แก่ประชาชน ทั้งด้านการทำงานของเจ้าหน้าที่ การรายงานสถานการณ์ และการแจ้งเตือนเกี่ยวกับผลกระทบจาก PM2.5 ต่อสุขภาพของประชาชน ที่จะต้องมีการสื่อสารอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ จากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป จึงคาดการณ์ว่าความแล้งต่อเนื่องไปขนถึงเดือนพฤษภาคม จึงขอให้หน่วยอุทยาน ป่าไม้ เตรียมความพร้อมให้ดี โดยขอให้มีการเตรียมผลัดเปลี่ยนกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในขณะนี้ ซึ่งมีความเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก เพื่อให้มีร่างกายที่พร้อมรับสถานการณ์ในอนาคต นอกจากนี้ ยังมุ่งหวังที่จะสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนอย่างถ่องแท้ในเรื่องของการเผาเพื่อเตรียมการเพาะปลูก ล่าสัตว์ และหาของป่า ซึ่งเป็นสิ่งที่กระทบต่อประชาชนเป็นวงกว้าง ทั้งยังส่งผลกระทบด้านภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตาชาวโลกอีกด้วย
